คนที่เพิ่งรู้จักกับ Mystery Shopping มักจะมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่หลายอย่าง เราจึงได้รวบรวมคำถามที่พบได้บ่อยเอาไว้ให้ทุกคนได้อ่านกัน เพื่อให้ความกระจ่างกับข้อสงสัยเหล่านี้ค่ะ
Q: Mystery Shopping คืออะไร A: Mystery Shopping คือ การวิจัยที่ส่งลูกค้าจริงเข้าไปตรวจสอบร้านค้าเพื่อเก็บข้อมูลการให้บริการในร้าน ผู้ตรวจสอบจะเป็นลูกค้าทั่วไปที่ได้รับมอบหมายให้ไปตรวจสอบ Q: Mystery Shopper คืออะไร A: Mystery Shopper คือ ผู้ที่ได้รับมอบหมายงานให้เข้าตรวจร้านค้าแบบไม่เปิดเผยตัว พวกเขาจะเก็บข้อมูลจากประสบการณ์จริงที่ได้รับนำมากรอกรายงานออนไลน์ Q: งานของ Mystery Shopper ต้องทำอะไรบ้าง A: ช้อปเปอร์จะไปยังร้านค้าเป้าหมายเพื่อตรวจสอบตามที่กำหนด เช่น ความสะอาด การให้บริการของพนักงาน การจัดวางสินค้า การติดป้ายโฆษณา แล้วนำข้อมูลที่ได้มากรอกลงแบบสอบถามออนไลน์ หากข้อมูลถูกต้องครบถ้วนก็รอรับค่าตอบแทนได้เลย Q: ทำงาน Mystery Shopping ได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่ A: ค่าตอบแทนของงานของช้อปเปอร์จะเฉลี่ยอยู่ที่ 400 – 2000 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่ายและระยะเวลาที่ทำงาน Q: ใครเป็น Mystery Shopper ได้บ้าง A: ผู้ที่จะเป็น Mystery Shopper ได้ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป สื่อสารโดยการพูดและเขียนได้ดี มีโทรศัพท์ที่ใช้ถ่ายรูปและอัดเสียงระหว่างเข้าตรวจได้ และมีความรับผิดชอบในการทำงาน Q: ทำไมบริษัทต่างๆ จึงใช้ Mystery Shopping? A: Mystery Shopping ช่วยให้ธุรกิจเห็นภาพการทำงานจริงของพนักงานและร้านค้าได้ชัดเจนผ่านสายตาของลูกค้าจริง นำจุดเด่นและด้อยที่ได้ไปพัฒนาต่อยอดงานบริการให้ดีขึ้น บางครั้งก็สามารถจับทุจริตพนักงานในร้านได้ด้วย Q: อยากเป็น Mystery Shopper เริ่มต้นอย่างไร A: เริ่มจากการสมัครเป็น Mystery Shopper ก่อน จากนั้นในเดือนต่อมาจะได้รับแจ้งให้เลือกงานผ่านอีเมล หลังจากเลือกงานแล้วก็ต้องไปทำแบบทดสอบก่อนถึงจะได้รับมอบหมายงาน สนใจสมัครเป็น Mystery Shopper กับ HSB ได้ที่ https://www.hsbrandsth.com/mystery-shopper-register.html เราได้นำเสนอโมเดลสำหรับรับมือกับข้อร้องแรียนของลูกค้ากันไปแล้ว 2 โมเดล วันนี้เรามีอีกสองมานำเสนอค่ะ 2 โมเดลสำหรับวันนี้เป็นของเชนร้านการแฟที่มีสาขาทั่วโลกอย่าง Starbucks และโรงแรม The Broadmoor อันโด่งดัง จาก 4 โมเดลทั้งหมดที่นำเสนอจะพบว่ามีความสอดคล้องกัน ซึ่งความสอดคล้องนั้นบ่งบอกถึงหัวใจของงานบริการ สตาร์บัคส์โด่งดังในเรื่องการให้บริการลูกค้า และใคร ๆ ต่างก็ทราบกันดีว่า มูลค่าในตลาดที่สูงลิ่วของสตาร์บัคส์มาจากการวางตำแหน่งทางการตลาดที่ไปไกลว่าการขายกาแฟ แต่จับจ้องที่การขายประสบการณ์อันดีเลิศและอบอุ่นให้แก่ลูกค้า โมเดลการรับมือกับข้อร้องเรียนของลูกค้าของ Starbucks คือ LATTE โดยมีองค์ประกอบคือ: L -Listen รับฟังปัญหาจากลูกค้า A - Acknowlege ทำให้ลูกค้ารู้ว่าเราเข้าใจปัญหาของลูกค้า T - Take action ลงมือแก้ไขปัญหาให้เรียบร้อย T - Thank the customer ขอบคุณลูกค้าที่แจ้งปัญหาให้ทราบ E - Explain what you did แจ้งให้ลูกค้าทราบว่าปัญหาถูกแก้ไขอย่างไร ด้วยสูตร LATTE ที่ตั้งใจจะส่งผ่านประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า เมื่อพนักงานของสตาร์บัคส์ยึดถือโมเดลนี้อย่างขึ้นใจ ผ้ากันเปื้อนสีเขียวของสตาร์บัคเปรียบดังเครื่องป้องกันไม่ให้พวกเขาต้องหงุดหงิดใจกับข้อตำหนิและร้องเรียนต่าง ๆ ของลูกค้า และพร้อมรับมือเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมกลับไป The Broadmoor ตำนานแห่งโรงแรมแนวรีสอร์ทอันโด่งดัง สถานที่แห่งนี้ได้รับการเยี่ยมเยียนจากประมุขของหลายประเทศ นักแสดงแถวหน้าและดาวเด่นในโลกกีฬา และได้รับการจัดอันดับโรงแรม 5 ดาวที่ดีที่สุดจากนิตยสาร Forbes ถึง 54 สมัยติดต่อกัน ที่บรอร์ดมัวร์ยึดถือการดูแลลูกค้าที่มาใช้บริการอย่างดีที่สุด พวกเขามีโมเดลสำหรับจัดการข้อร้องเรียนของลูกค้าเรียกว่า HEART ที่แปลว่า หัวใจ H - Hear รับฟังปัญหา E - Empathize เห็นอกเห็นใจลูกค้า A - Apologize กล่าวขอโทษ R - Respond ขอบคุณลูกค้า T - Take Action จัดการแก้ปัญหาและแจ้งความคืบหน้า สูตร Heart นี้ ถูกใช้กันมาอย่างยาวนานที่ The Broadmoor ทำให้โรงแรมนี้รักษาชื่อเสียงและถูกจัดอันดับเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดของอเมริกาเสมอมา หากมองหาจุดร่วมของโมเดลการรับมือกับข้อร้องเรียนของลูกค้าทั้งหมดแล้วจะเห็นว่า ทั้งหมดเริ่มที่การฟัง หากเราฟังลูกค้าให้เป็น...หมายถึง ฟังให้เข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร และทำให้ลูกค้ารับรู้ว่าเราเข้าใจลูกค้าจริง ๆ นั่นเป็นก้าวแรกในการแก้ปัญหาให้ลูกค้า และมีพื้นที่ในใจลูกค้าตลอดไป
แม้ว่าสถานการณ์โควิดจะทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวยังไม่ฟื้น แต่เราขอนำเสนอโมเดลให้บริการสำหรับคนทำงานโรงแรม เพื่อเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าสำหรับการรับมือกับคำตำหนิและร้องเรียนของลูกค้าค่ะ สำหรับคนทำงานโรงแรม โมเดล L E A R N จาก Marriott ถือเป็นโมเดลที่โด่งดังและเป็นที่ยอมรับกันมากที่สุดสำหรับการรับมือและจัดการกับข้อร้องเรียนของลูกค้า คนที่อยู่ในแวดวงโรงแรมย่อมพยายามอย่างมากในการแก้ปัญหาให้ลูกค้า แต่บางครั้งก็เกิดปัญหาขึ้นได้ โรงแรมที่แก้ปัญหาได้เก่งกว่าย่อมก้าวนำคู่แข่งอยู่เสมอ โมเดลนี้ถูกใช้ที่ Marriott, Hilton และ Starwood เพราะคนส่วนใหญ่มักไม่รู้วิธีรับมือจัดการกับข้อตำหนิที่ลูกค้ามี ถ้าไม่ได้สอนทักษะนี้ก็มักจะมีปัญหาที่แก้ไม่จบตามมา L - Listen
E - Empathize
A - Apologize
R-React
N - Now!
โมเดล L.E.A.R.N. นี้ ควรถูกฝึกอบรมในองค์กรอยู่สม่ำเสมอ เพราะเรื่องร้องเรียนหรือข้อตำหนิเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ หากไม่รู้วิธีรับมือ และไม่มีวิธีคิดและทักษะที่ดีพอ เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น นอกจากจะสร้างความไม่พอใจแก่ลูกค้า สร้างความเสียหายแก่โรงแรมแล้ว อาจสร้างประสบการณ์ที่เป็นตราบาปในใจสำหรับผู้ให้บริการเอง ถ้าใครเคยทำงานบริการก็จะเห็นว่า การได้รับข้อตำหนิหรือข้อร้องเรียนจากลูกค้านั้นเกิดขึ้นอยู่เสมอ สำหรับร้านหรือแบรนด์ที่ไม่เคยเทรนพนักงานให้ตอบสนองกับข้อตำหนิหรือร้องเรียนของลูกค้าเลย ก็อาจทำให้เกิดเรื่องราวปัญหาใหญ่โตตามมา
มีหลายองค์กรที่บัญญัติวิธีการรับมือกับข้อตำหนิและร้องเรียนของลูกค้าไว้ให้พนักงานสามารถจดจำและทำตามได้โดยง่าย วันนี้เราขอยกตัวอย่างจากดิสนีย์มาให้เห็นว่า ที่ดิสนีย์นั้นดูแลข้อตำหนิและร้องเรียนของลูกค้าอย่างไร การรับข้อตำหนิและร้องเรียนด้วยสูตร H.E.A.R.D. ที่เน้นหนักที่การฟังและแก้ปัญหาด้วยหัวใจ 1. Hear พนักงานต้องรับฟังปัญหาที่ลูกค้าแจ้งเข้ามาอย่างตั้งใจเพื่อทำความเข้าใจปัญหานั้น โดยไม่ขัดหรือรบกวนตอนที่ลูกค้ากำลังพูดอยู่ หยุดตัวเองให้ทัน ห้ามอธิบาย พนักงานส่วนใหญ่อยากจะอธิบายให้ลูกค้าฟัง จำไว้ให้ดีว่า ลูกค้าต้องการใครสักคนที่ฟังเขา ไม่ใช่ใครสักคนที่จะบอกเขาว่าทำไมร้านถึงทำแบบนั้นกับเขา 2. Empathize แสดงความเข้าอกเข้าใจและความปรารถนาดีให้ลูกค้าได้เห็น เพื่อให้ลูกค้ารู้ว่าพนักงานยืนอยู่เคียงข้างลูกค้า และเข้าใจปัญหาของลูกค้าจริง ๆ อย่าแอคติ้งหรือประชดประชัน คุณต้องสวมหัวใจของคุณไปที่ลูกค้าให้ได้ ความเข้าอกเข้าใจนี้เองต้องส่งผ่านสีหน้า ท่าทาง แววตา และคำพูดออกมาให้ได้ ควรสบตาลูกค้าและกล่าวถ้อยคำที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุณอยู่ฝั่งเดียวกับเขา 3. Apologize กล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจ ไม่ใช้คำขอโทษแบบขอไปที แม้ว่าปัญหานั้นไม่ได้เกิดจากตัวคุณเองโดยตรง บางคนไม่สามารถกล่าวขอโทษได้เพราะคิดว่า "ฉันไม่ผิด ลูกค้าต่างหากที่ผิด" "ฉันไม่ได้ทำ พนักงานคนอื่นต่างหากที่เป็นคนทำ" ซึ่งถ้าคุณคิดเช่นนั้น ลองคิดในมุมที่ว่า หน้าที่ของคุณคือช่วยเหลือให้ลูกค้าสะดวกสบาย หรือได้รับสินค้าอย่างที่คาดหวัง ดังนั้นหากลูกค้าไม่ได้ในสิ่งที่เขาควรได้รับ คุณเองก็สามารถขอโทษเขาได้" 4. Resolve จุดที่พิเศษอย่างหนึ่งของดิสนีย์คือ พนักงานที่รับเรื่องปัญหานั้นสามารถจัดการแก้ปัญหาได้เองเลยทันที โดยไม่ต้องรออนุมัติจากหัวหน้างานก่อน และสามารถถามลูกค้าว่าต้องการให้ชดเชยอะไรบ้าง สิ่งที่คุณควรทำคือ แก้ปัญหาโดยสื่อสารกับลูกค้าว่ามีอะไรที่จะได้รับการแก้ไขหรือชดเชยบ้าง 5. Diagnose เพื่อแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ ต้องกลับมาพิจารณาว่า ปัญหาที่ลูกค้าแจ้งนั้นสาเหตุเกิดจากอะไร และต้องทำอย่างไรถึงจะไม่ให้เกิดปัญหานั้นซ้ำอีก ขั้นตอนการแก้ปัญหานี้ เราสามารถนำไปอ้างอิงปรับใช้กับองค์กรของเราได้ เพื่อพัฒนาการรับมือคอมเพลนของลูกค้าให้ดีขึ้นและสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้บริการให้แก่ลูกค้า มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง เรื่องนี้เริ่มจากความเข้าใจผิดที่ควรไกล่เกลี่ยกันได้ แต่ดันลุกลามไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โซเชียลมีเดียที่เกาหลีใต้เดือด เพราะคลิปภริยาของเอกอัครราชทูตเบลเยี่ยมประจำเกาหลีใต้ตบพนักงานและเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าในกรุงโซลเมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา โดยเจ้าของร้านได้ปล่อยคลิปเหตุการณ์ออกมาเพราะไม่อยากให้ใครต้องเจอเหตุการณ์แบบเธออีก เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อภริยาทูตไปลองชุดที่ร้านเสื้อแห่งหนึ่ง เธอลองเสื้อผ้าหลายชุดแล้วเดินออกจากร้านไป พนักงานเลยเข้าใจผิดคิดว่าลูกค้าขโมยเสื้อผ้าของร้าน เพราะเสื้อคลุมของลูกค้าคล้ายกับสินค้าในร้าน พนักงานจึงออกไปตาม เมื่อพบว่าเข้าใจผิด พนักงานก็ขอโทษ แต่ภริยาทูตกลับเข้ามาในร้านและก่อเหตุรุนแรงขึ้น ภาพในคลิปจะเห็น นาง Xiang Xueqiu วัน 63 ปี ภริยาทูตเบลเยี่ยมประจำเกาหลีใต้ ใช้กำลังกับพนักงานของร้านวัย 33 ปี โดยตบหัวของเธอ เจ้าของร้านได้เข้ามาแยกทั้งคู่และพยายามทำให้ทั้งสองอารมณ์เย็นลง ตอนนั้นเองนาง Xiang ก็ตบหน้าเจ้าของร้านไปฉาดใหญ่ ชาวเน็ตแสดงความไม่พอใจอย่างกว้างขวาง และขณะนี้ตำรวจกำลังสืบสวนเรื่องนี้อยู่ ขณะที่สถานทูตเบลเยี่ยมยังรักษาท่าทีและไม่ให้ข้อมูลใด ๆ
หนังสือพิมพ์ South China Morning Post รายงานว่า พนักงานของร้านให้การต่อตำรวจว่า นาง Xiang บอกว่า ยังไงตัวเธอก็ไม่ถูกลงโทษเนื่องจากการคุ้มกันทางการทูต ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น เว้นแต่ประเทศต้นสังกัดของทูตแจ้งยกเลิกความคุ้มครองทางการทูตเพื่อให้เกิดการไต่สวนได้ ชาวเน็ตเกาหลีใต้ต่างโกรธเคืองต่อเรื่องนี้ เพราะเห็นว่าภริยาทูตทำไม่สมควร อีกทั้งภริยาทูตมีเชื้อสายจีนซึ่งมีความตึงเครียดทางการเมืองกับเกาหลีใต้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงได้เห็นคอมเมนต์มหาศาลในทุกที่ที่เกี่ยวกับท่านทูตเบลเยี่ยมคนนี้ ม้กระทั่งเฟสบุ้คของสถานทูตเบลเยี่ยมเองก็มีการเรียกร้องให้ภริยาทูตได้รับบทลงโทษและส่งกลับประเทศไป เรื่องบาดหมางที่ไม่ควรเกิดขึ้นกลับขยายใหญ่โตเพียงเพราะต้องการรักษาอีโก้ของคนและการไม่ให้เกียรติผู้อื่น ที่มา: https://www.scmp.com/week-asia/people/article/3130331/footage-belgian-ambassadors-wife-slapping-shopkeeper-outrages https://www.youtube.com/watch?v=AUFMZSykgzg https://www.reddit.com/r/korea/comments/mre6la/wife_of_belgium_ambassador_accused_of_assaulting/ |
AuthorHS Brands Global (Thailand) Team Categories
All
Archives
January 2024
|